จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

วิธีลง Fonts ใน Windows 7 และ Photoshop CS3


[ปัญหา] วิธีลง Fonts ใน Windows 7 และ Photoshop CS3
ประเดิม บลอค ด้วย ปัญหาของ AmmBerRer ในวันนี้ คือ!!!
การลง Fonts ใน Windows 7 และ Photoshop CS3 นั่นเอง!!! 

จำไม่ได้ว่าอ่านจากเว็ปอะไรเพราะ เพิ่งมาคิดได้ว่าน่าจะเอามาอัพบลอค [ต้องขออภัยเรื่องเครดิตด้วย]

การลง Fonts ใน Windows 7 
จริงๆแล้ว วิธีลงฟอนต์ ใน Windows 7 ง่ายแสนง่าย มีหลากหลายวิธี
คงจะไม่บอกทุกวิธี เพราะไม่รู้ว่าจะบอกวิธียากๆไปทำไม 

มาเริ่มกันเลย จะลงฟอนต์ได้ ก็ต้องมีฟอนต์อยู่แล้วใช่มั้ย
เพราะงั้นคงไม่ต้องบอกเรื่องการหา-โหลด-แตกไฟล์
แต่เราจะยัดมันลงเครื่องกันเลย

คลิกขวาที่ไฟล์ฟอนต์ - Install โลด!

หรือจะเลือกทีละหลายๆไฟล์ หรือ ทั้งหมดก็ได้นะครับ ทำเหมือนกัน คลิกขวา - Install โลด!



 Tip&Trick 
กด Ctrl ค้างไว้เพื่อเลือก หลายไฟล์
กด Shift ค้างไว้เพื่อเลือก หลายไฟล์ ที่เรียงต่อกัน
กด Ctrl + A เพื่อเลือกทั้งหมด ทุกไฟล์


อาจจะขึ้น User Accounts Control มาก็กด Yes ได้เลยนะครับ

ถ้าเคยลงฟอนต์ที่เลือกลงในเครื่องแล้ว จะขึ้นแบบนี้นะครับ
ถ้าจะลงทับก็ Yes ยกเลิกก็ No เลย 


แล้วจะมีหน้าต่างบอกแบบนี้ครับ ถ้าลงฟอนต์เดียว จะเป็น 1 of 1 นะครับ
((อันนี้เป็น 8 of 8 เพราะลงฟอนต์เดียว Print Screen ไม่ทัน ))


เป็นอันเรียบร้อยครับ...แล้วฟอนต์เราที่ลงไปอยู่ไหน?? 
หาง่ายครับไม่ต้องห่วง ที่อยู่ตามนี้เลยครับ C:WindowsFonts [ตามรูปก็ได้]


ดูหลายขั้นตอนทำจริงๆไม่ถึงนาทีครับลงฟอนต์เนี้ย 



การลง Fonts ใน Photoshop CS3 
นี่ก็ง่ายๆ สบายๆ Style Copy&Paste ก็อปๆวางๆเนี้ยแหละครับ
หลัวจากเรามีฟอนต์แล้ว เราก็หาที่อยู่นี่เลย ก๊อปไปวางที่ address เลยก็ได้

C:Program FilesCommon FilesAdobeFonts
หรือ
C:Program Files (x86)Common FilesAdobeFonts

ซึ่งเคยอ่านมาว่า C:Program FilesCommon FilesAdobeFonts
แต่ของ AmmBerRer เป็น Program Files (x86) ครับ [อันนี้น่าจะเพราะ Windows นะครับ]



ถ้าเข้ามาได้แค่ Adobe แล้วไม่มี Folder Fonts ก็สร้างเอาเลยนะครับ [จริงๆแล้วมันคงมีหมดอ่ะ]
เจอแล้วลากฟอนต์มาวางเลยครับ หรือ [Copy&Paste] [Cut&Paste] [Ctrl+C - Ctrl+V] [Ctrl+X - Ctrl+V] ยังไงก็ได้ตามถนัดเลย

การลงฟอนต์ในนี่จะเหมือนการ คัดลอก หรือ ย้าย ปกติ
คือจะเร็วมาก ไม่เหมือนการ Install font ลงเครื่อง ซึ่งจะใช้เวลานิดหน่อย
และสามารถลงได้ขณะที่เปิดโปรแกรมอยู่

จบแล้ว
อะไรก็ง่าย ถ้า...เรารู้ซะอย่าง

แหล่งที่มา http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=ammoxygen&group=2

Create Date : 21 กรกฎาคม 2554
Last Update : 21 กรกฎาคม 2554 1:01:08 น.
Counter : 1533 Pageviews.


ตรวจรายชื่อเครื่องสำอาง

ด่วน...ก่อนหน้าพัง

อย.ประกาศรายชื่อเครื่องสําอางอันตรายอีก 23 ยี่ห้อที่มีสารห้ามใช้ พบว่าส่วนใหญ่ผสมสารประกอบของปรอท ถ้านำมาใช้อาจทําให้แพ้และระคายเคืองถึงขั้นเสียโฉมได้

ภญ.วีรวรรณ แตงแก้ว รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา สํานั กงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย .) ได้ออกเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์เครื่องสําอางตามแหล่งจําหน่าย เช่น ร้านค้า และแผงลอย ในเขตกรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ และยโสธร นำตัวอย่างส่งตรวจวิเคราะห์หาสารห้ามใช้ที่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค เครื่องสำอางมีสารห้ามใช้รวม 23 ยี่ห้อ ตรวจพบกรดเรทิโนอิกหรือกรดวิตามินเอ สารประกอบของปรอท และไฮโดรควิโนน โดยผลการตรวจวิเคราะห์พบว่า เครื่องสําอางอันตรายเหล่านี้ส่วนใหญ่ลักลอบผสมสารประกอบของปรอท

สารห้ามใช้ทั้ง 3 ชนิดนี้ ทําให้เกิดการแพ้ระคายเคืองและเป็นสาเหตุทำให้ผิวหน้าถึงขั้นเสียโฉมได้ จึงขอเตือนประชาชนอย่าซื้อมาใช้เด็ดขาด

รายชื่อเครื่องสำอางอันตราย

1.ครีมนมแพะผสมสาหร่าย N-T (ตลับสีเขียว)

ข้อความฉลาก : ไม่ระบุวันเดือนปีที่ผลิตและชื่อผู้ผลิต

เจ้าของ/สถานที่: ร้านขายเครื่องสำอางเลขที่ 199/99 หมู่ 11 แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กทม.

ตรวจพบสารห้ามใช้ 1 สารประกอบของปรอทหรือปรอทแอมโมเนีย

2.ครีมแครอทแก้ฝ้า-กระ (ตลับสีส้ม)

ข้อความฉลาก : ไม่ระบุวันเดือนปีที่ผลิตและชื่อผู้ผลิต

เจ้าของ/สถานที่: ร้านขายเครื่องสำอางเลขที่ 199/99 หมู่ 11 แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กทม.

ตรวจพบสารห้ามใช้ 1 สารประกอบของปรอทหรือปรอทแอมโมเนีย

3.Gold Angel White Night Cream

ข้อความฉลาก : ไม่ระบุเลขที่ผลิต

เจ้าของ/สถานที่/ผู้ผลิต/ผู้จัดจำหน่าย : บริษัท คิงเฮิร์บ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด เลขที่ 688/73-75 ถ.แจ้งวัฒนะ แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กทม.

ตรวจพบสารห้ามใช้ 1 สารประกอบของปรอทหรือปรอทแอมโมเนีย

4.ครีมสมุนไพรชาเขียว OR ครีมกลางคืน (ตลับสีเขียว)

ข้อความฉลาก : ไม่ระบุวันเดือนปีที่ผลิต

เจ้าของ/สถานที่: ร้านขายเครื่องสำอางเลขที่ 199/99 หมู่ 11 แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กทม.

ตรวจพบสารห้ามใช้ 1 สารประกอบของปรอทหรือปรอทแอมโมเนีย

5.ครีมมะเขือเทศ แก้สิว หน้าขาว N-T (ตลับสีชมพู)

ข้อความฉลาก : ไม่ระบุวันเดือนปีที่ผลิตและชื่อผู้ผลิต

เจ้าของ/สถานที่: ร้านขายเครื่องสำอางเลขที่ 199/99 หมู่ 11 แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กทม.

ตรวจพบสารห้ามใช้ 1 สารประกอบของปรอทหรือปรอทแอมโมเนีย

6.ครีมบำรุงผิวมุขหน้าขาว (ตลับขาว-น้ำเงิน)

ข้อความฉลาก : ไม่ระบุวันเดือนปีที่ผลิตและชื่อผู้ผลิต

จ้าของ/สถานที่: ร้านขายเครื่องสำอางเลขที่ 199/99 หมู่ 11 แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กทม.

ตรวจพบสารห้ามใช้ 1 สารประกอบของปรอทหรือปรอทแอมโมเนีย

7.ครีมสมุนไพรน้ำนมข้าว NT

8.N (สรรพคุณแก้ฝ้าฝังลึกหน้าหมองคล้ำ)

ข้อความฉลาก : ไม่ระบุวันเดือนปีที่ผลิตและชื่อผู้ผลิต

เจ้าของ/สถานที่: ร้านขายเครื่องสำอางเลขที่ 199/99 หมู่ 11 แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กทม.

ตรวจพบสารห้ามใช้ 1 ไฮโดรควิโนน

9.ครีมไพร

ข้อความฉลาก : ไม่ระบุวันเดือนปีที่ผลิตและชื่อผู้ผลิต

เจ้าของ/สถานที่: ร้านขายเครื่องสำอางเลขที่ 199/99 หมู่ 11 แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กทม.

ตรวจพบสารห้ามใช้ 1 สารประกอบของปรอทหรือปรอทแอมโมเนีย

10.ครีมหน้าใสทาก่อนนอน

ข้อความฉลาก : ไม่ระบุชื่อผู้ผลิตและเลขที่ผลิต

เจ้าของ/สถานที่: ร้านขายเครื่องสำอางเลขที่ 199/99 หมู่ 11 แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กทม.

ตรวจพบสารห้ามใช้ 1 สารประกอบของปรอทหรือปรอทแอมโมเนีย

11.Sandnady NIGHT CREAM ครีมทาฝ้า/กระ

ข้อความฉลาก : ไม่ระบุชื่อผู้ผลิตและเลขที่ผลิต

เจ้าของ/สถานที่: ห้างคาร์ฟู เลขที่ 1293 หมู่ 4 ต.สำโรงเหนือ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ

ตรวจพบสารห้ามใช้ 1 ไฮโดรควิโนน

12.Silver Angel Face Day Cream

ข้อความฉลาก : ไม่ระบุเลขที่ผลิต

เจ้าของ/สถานที่/ผู้ผลิต/ผู้จำหน่าย : บริษัท คิงเฮิร์บ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด เลขที่ 688/73-75 ถ.แจ้งวัฒนะ แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กทม.

ตรวจพบสารห้ามใช้ 1 สารประกอบของปรอทหรือปรอทแอมโมเนีย
13.JIAO NUO FAYLACIS ครีมกลางคืน

ข้อความฉลาก : ไม่ระบุเลขที่ผลิต

เจ้าของ/สถานที่: แผงลอยไม่มีชื่อ ตั้งอยู่ชั้น 2 เซ็นทรัลสาขาปิ่นเกล้า แขวงอรุณอมรินทร์ เขตบางกอกน้อย กทม.

ผู้ผลิต: บริษัท ห้วยโจเขื่อนเอิน คอสเมติก จำกัด ประเทศจีน

ผู้นำเข้า: บริษัท ไจโอ นูโอ อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) จำกัด 302/20 ลาดพร้าว 71 วังทองหลาง กทม.

ตรวจพบสารห้ามใช้ 1 สารประกอบของปรอทหรือปรอทแอมโมเนีย

14.JIAO NUO บาชิ ครีมกลางคืน

ข้อความฉลาก : ไม่ระบุเลขที่ผลิต

เจ้าของ/สถานที่: แผงลอยไม่ทราบชื่อ ชั้น 3 มาบุญครองเซ็นเตอร์ ถนนพญาไท แขวงวังใหม่ กทม.

ผู้ผลิต: บริษัท ห้วยโจเขื่อนเอิน คอสเมติก จำกัด ประเทศจีน

ผู้นำเข้า: บริษัท ไจโอ นูโอ อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) จำกัด 302/20 ลาดพร้าว 71 วังทองหลาง กทม.

ตรวจพบสารห้ามใช้ 1 สารประกอบของปรอทหรือปรอทแอมโมเนีย

15.JIAO NUO บาชิ ครีมกลางคืน

ข้อความฉลาก : ไม่ระบุเลขที่ผลิต

เจ้าของ/สถานที่: แผงลอยไม่มีชื่อ ตั้งอยู่ชั้น 2 เซ็นทรัลสาขาปิ่นเกล้า แขวงอรุณอัมรินทร์ เขตบางกอกน้อย กทม.

ผู้ผลิต: บริษัท ห้วยโจเขื่อนเอิน คอสเมติก จำกัด ประเทศจีน

ผู้นำเข้า: บริษัท ไจโอ นูโอ อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) จำกัด 302/20 ลาดพร้าว 71 วังทองหลาง กทม.

ตรวจพบสารห้ามใช้ 1 สารประกอบของปรอทหรือปรอทแอมโมเนีย

16.นิว แคร์ ครีมสมุนไพรขมิ้น ครีมบำรุงผิวสมุนไพรขมิ้น

ข้อความฉลาก : ไม่ระบุเลขที่ผลิตและวันเดือนปีที่ผลิต

เจ้าของ/สถานที่: แผงลอยไม่ทราบชื่อ ใกล้ตลาดเทศบาล อ.เมือง จ.ยโสธร

ผู้ผลิต/ผู้จัดจำหน่าย : นิวแคร์ บิวตี้

ตรวจพบสารห้ามใช้ 1 สารประกอบของปรอทหรือปรอทแอมโมเนีย

17.นิว แคร์ ไวท์ไนท์ครีม ครีมบำรุงผิวหน้ากลางคืน

ข้อความฉลาก : ไม่ระบุเลขที่ผลิตและวันเดือนปีที่ผลิต

เจ้าของ/สถานที่: แผงลอยไม่ทราบชื่อ ใกล้ตลาดเทศบาล อ.เมือง จ.ยโสธร

ผู้ผลิต/ผู้จัดจำหน่าย : นิวแคร์ บิวตี้

ตรวจพบสารห้ามใช้ 1 : ไฮโดรควิโนน และสารห้ามใช้ 2 กรดเรทิโนอิก หรือกรดวิตามินเอ

18.KL ครีมนมผึ้งผสมโสม

ข้อความฉลาก : ไม่ระบุชื่อผู้ผลิตและวันเดือนปีที่ผลิต

เจ้าของ/สถานที่: แผงลอยไม่ทราบชื่อ ใกล้ตลาดเทศบาล อ.เมือง จ.ยโสธร

ตรวจพบสารห้ามใช้ 1 สารประกอบของปรอทหรือปรอทแอมโมเนีย

19.เอ็ม.วี.ไวท์เทนนิ่งครีม ครีมบำรุงผิวหน้ากลางคืน

เจ้าของ/สถานที่: แผงลอยไม่มีชื่อ ใกล้ตลาดเทศบาล อ.เมือง จ.ยโสธร

ผู้ผลิต: บ.เอ็ม วี คอสเมติกส์ จ. 47/ 2 หมู่ 3 ต.เกษตรพัฒนา อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร

ประเทศแหล่งกำเนิด : - ไม่ระบุ -

ตรวจพบสารห้ามใช้ 1 ไฮโดรควิโนน และสารห้ามใช้ 2 กรดเรทิโนอิก หรือกรดวิตามินเอ

20.MV WHIENING CREAM ครีมแก้สิว-หน้าใส

เจ้าของ/สถานที่: แผงลอยไม่มีชื่อ ใกล้ตลาดเทศบาล อำเภอเมือง จ.ยโสธร

ผู้ผลิต: บ.เอ็ม วี คอสเมติกส์ จ. 47/ 2 ม.3 ต.เกษตรพัฒนา อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร

ตรวจพบสารห้ามใช้ 1 สารประกอบของปรอทหรือปรอทแอมโมเนีย

21.NEW CARE ครีมประทินผิวลดรอยด่างดำ

22.D.C.White โลชั่นกันแดด ปรับสภาพผิวจากแสงแดด

23.นิวแคร์ ครีมประทินผิวลดรอยด่างดำ

24.นิวแคร์ โลชั่นปรับสภาพผิว

25.Gold Angel White Night cream

26.Silver Angel Face Day Cream

27.พรีม โลชั่นป้องกันแสงแดด-ฝ้า (ขายพร้อมครีมทาสิวสูตรขาวเนียน บรรจุในกล่องกระดาษสีชมพูขาว)

28.3 ทรีเดย์ ไบรเทนแอนด์รีไวเทน โลชั่นป้องกันแสงแดด-ฝ้า (บรรจุรวมกับ 3 ทรีเดย์ ครีมลดริ้วรอยหมองคล้ำ-ฝ้า ในกล่องกระดาษสีเหลือง-ขาว-ฟ้า)

29.3 ทรีเดย์ เนเชอรัล โลชั่นป้องกันแสงแดด-ฝ้า (บรรจุรวมกับ 3 ทรีเดย์ ครีมทาสิว สูตรขาวเนียนในกล่องกระดาษสีฟ้า-ขาว-เหลือง)

30.โลชั่นวินเซิร์ฟลดฝ้า-กันแดด (ห่อด้วยพลาสติกใสไม่มีสี รวมกับครีมวินเซิร์ฟและสบู่สมุนไพรทองพันชั่งผสมมะขาม)31.3 ทรีเดย์ ไบรเทนแอนด์รีไวเทน โลชั่นป้องกันแสงแดด-ฝ้า (บรรจุรวมกับ 3 ทรีเดย์ ครีมลดริ้วรอยหมองคล้ำ-ฝ้า ในกล่องกระดาษสีดำ-ขาว)

32.3 ทรีเดย์ ไบรเทนแอนด์รีไวเทน ครีมลดริ้วรอยหมองคล้ำ-ฝ้า (บรรจุรวมกับ 3 ทรีเดย์ โลชั่นป้องกันแสงแดด-ฝ้า ในกล่องกระดาษสีดำ-ขาว)

33.ครีมสมุนไพรโสมจินเหม่ย

34.ชิชาเดะ ครีมหน้าขาวโสมผสมไข่มุกญี่ปุ่น

35.ครีมสมุนไพรขมิ้น M&G

36.มิสเดย์ ครีมแก้ฝ้า ใช้กลางคืน(ขายพร้อมมิสเดย์ครีมแก้สิว ใช้กลางวัน)

37.โลชั่นกันแดด-กันฝ้า เมลาแคร์ ผสมว่านหางจระเข้

38.ครีมฝ้าเมลาแคร์

39.โลชั่นปรับสภาพผิว เอสจี(ขายพร้อมมุยลีเฮียงครีมทาสิวฝ้า)

40.ครีมชาเขียว DR.JAPAN

41.DR.s Secret 4 skinrecon

42.DR.s Secret 3 skinlight

43.FRESHXEENA NIGHT CREAM

44.MINGCHEN DAY CREAM WHITENING CREAM

45.KAILI LOVELY M

46.ไวท์เทนนิ่งครีม ROBISIS Whitening Cream Night Cream

47.ไวท์เทนนิ่งครีม ROBISIS FADE-out Cream Day Cream

48.Plsi Whitening Day Cream

49.บาชิ ครีมกลางคืน

50.PM3ไวท์เทนนิ่ง สูตรพิเศษ

51.FC ครีมสมุนไพรน้ำนมข้าว

52.สมุนไพรบ้านตะวัน

53.ครีมชาเขียว DR.JAPAN

54.QIAN MEI (ครีมสีเหลือง)

55.QIAN MEI (ครีมสีขาว)

56.Night Lotion

57.ครีมไข่มุก

58.ครีมมะขามเปลี่ยนสีผิว

59.ครีมน้ำนมสปาเปลี่ยนสีผิว

60.ครีมน้ำนมมะขามเปลี่ยนสีผิว

61.VOV COLOR DESIGN 22

62.Fem Hair Removing Cream RORE

63.Fem Hair Removing Cream CHANDAN

64.ไวท์ครีม (ครีมเปลี่ยนสีผม)

65.Bio Je

66.โลชั่นทาผิว HQ

67.ครีมทารักแร้ขาว

68.KARME Whitening Cream Night Cream

69.WEiJiAO Double Night Cream

70.WEiJiAO Whitening Essence

71.Hymera Night Cream

72.Hymera Day Cream

73.CAI NI YA

74.JIAO LING ครีมกลางคืน

75.JIAO LING ครีมกลางวัน

76.ครีมไม่ใช่ลิขวิด

77.ครีมสมุนไพรไม่ใช่ลิขวิด

78.TALEENA CREAM ครีมสมุนไพรว่านหางจระเข้

79.สมุนไพรรักษาสิวฝ้า

80.J Leena Serum Whitening Zerum (เย็น 1)

81.J Leena Serum มุกหน้าใส-เด้ง(เช้า 2)

82.BAOJU WHITENING CREAM NIGHT CREAM

83.ครีมสมุนไพรว่านทิพย์

84.FAYLACIS NIGHT CREAM FS-202

85.YANKO Day Cream

86.YANKO Night Cream

87.ครีม FAYLACIS

88.ครีม CTA

89.ครีม Qian Mei กล่องสีเขียว มีรูปโสม

90.คิวแคร์ ลดรอยดำ

91.คิวแคร์ ครีมประทินผิวสูตรขมิ้น

92.PREAME ครีมลดริ้วรอย

93.PREAME โลชั่นป้องกันแสงแดด

94.PREAME โลชั่นป้องกันแสงแดด-ฝ้า

95.PREAME ครีมทาสิว

96.ครีมแก้ฝ้า Q2 คิวทู

97.ครีมสมุนไพรว่านนางพญาหน้าขาว

98.ครีมสิวฝ้าสมุนไพร แพน-วี

99.โลชั่นสมุนไพรป้องกันแสงแดด แพน-วี

100.ครีมมิโกะไลท์ 3 Mikomuszuree

คณะกรรมการอาหารและยา (อย.)

วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ทายนิสัย : ทายนิสัยจากสีโปรด


เชื่อกันว่า สีมีอิทธิพลต่อจิตใจและอารมณ์ของคนเรา เช่น สีที่ร้อนแรง ฉูดฉาด จะกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกตื่นตัว อย่างสัญญาณไฟเบรคท้ายรถก็ใช้สีแดง เพื่อให้สะดุดตาและความรู้สึกของคน หรือสีโทนขรึม ๆ ก็จะช่วยให้อารมณ์ของคนสงบ เยือกเย็นลง หรือสีสว่างอ่อนๆ ทำให้คนรู้สึกสบายตา อารมณผ่อนคลาย และไม่รู้สึกซึมเศร้า นอกจากนี้ สีแต่ละสีมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับสภาพจิตใจและร่างกายของคนเราอย่างไร แล้วแปลผลออกมาเป็นลักษณะบุคลิกภาพของบุคคล ลองเลือกสีจำนวน 8 สีต่อไปนี้ดูนะคะว่า มีสีไหนที่คุณชอบมากที่สุด เรียงตามลำดับไปจนถึงสีที่คุณชอบน้อยที่สุด...แล้วดูคำเฉลยว่าคุณเป็นคนอย่างไร?
สีแดง ถ้าคุณชอบสีแดงมากที่สุด แสดงว่าคุณเป็นคนค่อนข้างหุนหันพลันแล่นเอาการ ชอบที่จะเป็นผู้ชนะ และเป็นคนที่เซ็กซี่ไม่เบา คุณสามารถเป็นผู้นำที่ดีได้ มีแรงปรารถนาที่จะดำเนินชีวิตไปสู่จุดสุดยอดหรือไปให้ถึงปลายสายรุ้งที่วาดหวังเอาไว้ เพราะสีแดงเป็นตัวแทนของอารมณ์ที่ร้อนแรงและพลังที่ไม่รู้จักมอด แต่ถ้าคุณเลือกสีแดงเป็นอันดับที่เจ็ดหรือแปด นั่นหมายถึงคุณไม่ค่อยมีความกระหายที่จะใช้ชีวิตโลดโผนโจนทะยานหรือไม่ปรารถนาผจญภัย
สีเหลือง เป็นตัวแทนของความสนุกสนาน และความผ่อนคลาย ใครที่เลือกสีเหลืองเป็นอันดับสอง สามหรือสี่ แสดงว่าคุณเป็นคนมองโลกในแง่ดี ให้ความสำคัญกับอนาคตและไม่ติดอยู่กับอดีต คุณใฝ่หาชีวิตที่เรียบง่าย มองปัญหาเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยและปราศจากความกังวล แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณเป็นคนเกียจคร้าน คนที่ชอบสีนี้อาจเป็นคนทุ่มเทให้กับการทำงาน เพียงแต่ไม่เอาจริงเอาจังอย่างสม่ำเสมอ ก็แหม ! คุณเป็นคนที่ชอบอะไร ๆ ที่ง่าย ๆ และผ่อนคลาย ถ้าคุณเลือกสีเหลืองเป็นอันดับแรก แปลได้ว่าคุณมีความทะเยอทะยาน และกระตือรือร้นกับสิ่งที่ทำให้คุณพอใจและเพลิดเพลิน ถ้าคุณเลือกสีเหลืองเป็นสีสุดท้าย แสดงว่าคุณรู้สึกโดดเดี่ยว จมอยู่กับความหดหู่และผิดหวัง ซึ่งทำให้คุณกลายเป็นคนแยกตัวจากสังคม และชอบปกป้องตัวเองจากคนอื่น ๆ
สีเขียว เป็นตัวแทนของความมั่นคงและความเป็นอนุรักษ์นิยม หรือต่อต้านความเปลี่ยนแปลง คนที่เลือกสีนี้เป็นอันดับแรกบ่งบอกถึงลักษณะของการเป็นคนหนักแน่นยืนกรานแบบกระต่ายขาเดียว ชอบแสดงความเป็นเจ้าของและค่อนข้างเห็นแก่ตัว คุณเป็นคนมีความสามารถสูงและเป็นนักวัตถุนิยม ชอบสะสมสิ่งหรูหราที่เชิดหน้าชูตา เช่น นาฬิกาโรเล็กซ์ รถยนต์ยี่ห้อดี ๆ ห้องชุดหรูหราที่อยู่บนชั้นสูงสุดหรือเพนท์เฮ้าส์ คุณปรารถนาที่จะสร้างความประทับใจ และคุณเป็นคนกลัวความล้มเหลวในอนาคต ถ้าเลือกสีเขียวเป็นสีสุดท้าย หมายถึง คุณเคยถูกขัดขวางความก้าวหน้า จนทำให้เกิดความรู้สึกต่ำต้อยเจ็บช้ำน้ำใจ ซึ่งยังคงฝังอยู่ในใจของคุณ ทำให้คุณกลายเป็นคนช่างวิพากษ์วิจารณ์ ถากถาง เย้ยหยัน และดื้อรั้น
สีม่วง เป็นสีที่มีส่วนผสมของสีฟ้าและสีแดง จึงจัดเป็นตัวแทนของความขัดแย้งระหว่างความรุนแรง หุนหัน พลันแล่น และความสงบเยื่อกเย็น ความแตกต่างระหว่างการอยากมีอำนาจควบคุมคนอื่นกับการสยบยอม คนที่ชอบสีม่วงเป็นอันดับแรก บ่งบอกถึงความเป็นคนที่ปรารถนาจะแสวงหาสัมพันธภาพที่ดีเลิศสุดวิเศษ ต้องการค้นหาในสิ่งลี้ลับเหนือโลก คุณมีความเป็นเด็กสูง ค่อนข้างขาดวุฒิภาวะ และมักติดอยู่กับความเพ้อฝัน ส่วนคนที่ชอบสีนี้เป็นอันดับท้าย ๆ ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่มีวุฒิภาวะ ไม่ติดอยู่กับความฝันเฟื่อง แต่จะเผชิญหน้ากับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น
สีน้ำตาล เป็นสีของมีสุขภาพที่ดี ถ้าเลือกสีนี้เป็นสีที่สี่หรือห้า แสดงว่าคุณเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพและรูปลักษณ์ จึงเป็นไปได้ที่คุณน่าจะเป็นคนรูปร่างสวยหุ่นดี แต่ถ้าคุณเลือกสีน้ำตาลเป็นอันดับต้น ๆ นั่นหมายถึงคุณเป็นคนขี้กังวลกับเรื่องเจ็บไข้ได้ป่วย และถ้าสีน้ำตาลเป็นสีโปรดอันดับหนึ่งของคุณ แสดงว่าคุณเป็นคนที่ขาดความมั่นใจในตัวเอง ค่อนข้างกระสับกระส่ายกระวนกระวาย หรือหมายถึงการอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่มั่นคง เขาพบว่าส่วนใหญ่พวกอพยพจะเลือกสีน้ำตาลเป็นอันดับแรก แต่ถ้าคุณเลือกสีน้ำตาลเป็นอันดับสุดท้าย แสดงว่าคุณเป็นคนไม่แยแสกับเรื่องสุขภาพเลยสีเทา จัดเป็นสีกลางๆ และเสมือนจุดกึ่งกลางระหว่างสิ่งที่แตกต่างกันสองสิ่ง และแรงดลใจสองขั้ว คนที่พิศวาสสีเทามากที่สุด หมายถึงการเป็นคนปิดตัวเองจากสิ่งต่างๆ ภายนอก และกันตัวเองให้พ้นจากข้อมูลมัดหรือพันธะทั้งหลายๆ คุณมักขึ้น ๆ ลง ๆ ระหว่างการใช้เหตุผลกับการใช้อารมณ์ และจะรู้สึกเครียดเมื่อต้องมีส่วนร่วมหรือต้องติดอยู่กับกลุ่ม คุณชอบสังเกตการณ์อยู่รอบนอกมากกว่าจะกระโดดเข้ามาร่วมวงกับคนอื่น ๆ ส่วนใครที่เลือกสีเทาเป็นสีสุดท้ายแสดงว่าคุณแสวงหาการมีส่วนร่วม และเป็นคนกระตือรือร้นอย่างมาก
สีฟ้า เป็นตัวแทนของความสงบและซื่อสัตย์ คนที่ชอบสีฟ้าเป็นชีวิตจิตใจมักเป็นคนอ่อนไหว เซ็นซิทิฟ และรู้สึกเจ็บปวดได้ง่าย คุณพอใจในวิถีการดำเนินชีวิตของตัวเอง คุณปรารถนาชีวิตที่สงบ ราบรื่น ไร้กังวล และพร้อมที่จะยอมอุทิศทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งความปรารถนานี้ คุณต้องการสัมพันธภาพที่มั่นคง ปราศจากความขัดแย้ง คนที่เลือกสีฟ้าเป็นอันดับรองลงมา หมายถึงคุณไม่พอใจในตัวเองยิ่งคุณไม่ชอบสีฟ้ามากเท่าไร ก็แสดงว่าคุณปรารถนาที่จะทำลายสิ่งผูกมัดที่ควบคุมคุณอยู่มากเท่านั้น แต่คุณก็ยังไม่ถึงกับมีความคิดที่จะโผบินไปจากครอบครัวหรือจากหน้าที่การงานจริงๆ นอกจากเพียงแค่รู้สึกทุกข์ใจอยู่เงียบ ๆ สีดำ โดยนัยลึก ๆ สีดำหมายถึงคำปฏิเสธว่า ' ไม่ ' ใครที่ชอบสีดำมากที่สุด ( ซึ่งก็หาได้ยาก ) เป็นคนที่ต้องการท้าทายและอยากต่อต้านพรหมลิขิต ถ้าใครเลือกสีดำเป็นอันดับสอง นั่นหมายถึงคุณพร้อมที่จะยอมเสียทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อให้ได้มาในสิ่งที่คุณต้องการ และถือว่าเป็นเรื่องปกติที่จะเลือกสีดำเป็นอันดับที่เจ็ดหรือแปด ซึ่งก็หมายถึงการยอมอยู่ภายใต้การควบคุมของโชคชะตา ถ้าใครเลือกสีเหลืองเป็นอันดับแรกและตามด้วยสีดำ แสดงว่าเป็นคนที่ชอบการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินชีวิตอยู่เสมอ

เรื่องจาก Forward Mail

รูปโปรไฟล์คือมายา เพื่อน Tag มาคือของจริง

อ่านต่อ: http://www.klonsms.com/tag/%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%86#ixzz2DO8taa8m

อวัยวะในระบบย่อยอาหารของคน
อวัยวะในระบบย่อยอาหารของคน  แบ่งออกเป็น  2  ส่วน  คือ
1.  อวัยวะที่เป็นทางเดินอาหาร  ได้แก่      1.1  ปากและโพรงปาก  (Mouth  and  Mouth Cavity)  ประกอบด้วย              -    ฟัน              -    ลิ้น              -    ต่อมน้ำลาย
      1.2  คอหอย  (Pharynx)
      1.3  หลอดอาหาร  (Esophagus)
      1.4  กระเพาะอาหาร  (Stomach)
      1.5  ลำไส้เล็ก  (Small Intestine)
      1.6  ลำไส้ใหญ่  (Large Intestine)
      1.7  ไส้ตรง  (Rectum)
      1.8  ทวารหนัก  (Anus)

2.  อวัยวะที่ช่วยย่อยอาหาร  แต่ไม่ใช่ทางเดินอาหารได้แก่      2.1  ต่อมน้ำลาย  (Salivary Gland)
      2.2  ตับ  (Liver)  และถุงน้ำดี  (Gall Bladder)
      2.3  ตับอ่อน  (Pancreas)  
การย่อยอาหารของคนมีกระบวนการย่อย 2 แบบ คือ
1. การย่อยเชิงกล (Mechanical Digestion) โดยการใช้ฟันบดเคี้ยว และการบตัวคลายตัวของทางเดินอาหาร เช่น หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร เป็นต้น
2. การย่อยทางเคมี (Chemical Digestion) โดยการใช้น้ำย่อย หรือ เอนไซม์ ทำให้อาหารเปลี่ยนแปลงจนเป็นโมเลกุลเดี่ยว ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้
 

การย่อยอาหารในปาก
ปาก (Mouth) เป็นทางเดินอาหารเริ่มแรก ซึ่งประกอบด้วยอวัยวะต่างๆทำหน้าที่ร่วมกัน มีทั้งการย่อยเชิงกล (Mechanical Digestion) และการย่อยทางเคมี (Chemical Digestion)
การทำงานของอวัยวะภายในปากที่เกี่ยวกับการย่อยอาหาร มีดังต่อไปนี้

ฟัน (Teeth)
ทำหน้าที่บดอาหารให้มีขนาดเล็กลง มี 2 ชุด คือ
1. ฟันน้ำนม (Deciduous Teeth) มี 20 ซี่ เริ่มขึ้นเมื่ออายุประมาณ 6 เดือน จะขึ้นครบเมื่อมีอายุประมาณ 2 ปี
2. ฟันแท้ (Permanent Teeth) มี 32 ซี่ เริ่มขึ้นเมื่อฟันน้ำนมซี่แรกหักและหลุดไป และจะขึ้นครบหรือเกือบครบเมื่ออายุประมาณ 21 ปี แต่บางคนอาจมีเพียง 28 ซี่ เท่านั้น ฟันแท้ประกอบด้วยฟันชนิดต่างๆ ดังนี้ (นับจากกึ่งกลางออกทางด้านข้างของฟันแต่ละข้าง)
 

    2.1 ฟันตัด(Incisor หรือ I) มี 2 ซี่ ทำหน้าที่ตัดอาหาร ในสัตว์ที่กินอาหารโดยการแทะจะมีฟันชนิดนี้เจริญดีที่สุด
    2.2 ฟันฉีก หรือ เขี้ยว (Canine หรือ C) มี 1 ซี่ ทำหน้าที่กัดและฉีกอาหาร มีลักษณะค่อนข้างแหลมคม ในสัตว์กินเนื้อ เขี้ยวจะเจริญดีที่สุด ไว้สำหรับล่าเหยื่อ ในสัตว์กินพืช เขี้ยวไม่มีหน้าที่สำคัญ
    2.3 ฟันกรามหน้า (Premolar หรือ P) มี 2 ซี่ ทำหน้าที่ตัดและฉีกอาหาร ในสัตว์กินเนื้อ เช่น เสือ สุนัข แมว จะมีฟันกรามหน้าเติบโตแข็งแรงเป็นพิเศษ
    2.4 ฟันกรามหลัง (Molar หรือ M) มี 3 ซี่ ทำหน้าที่บดเคี้ยวอาหาร ฟันกรามซี่สุดท้ายอาจโผล่ขึ้นมาไม่พ้นเหงือก จึงอาจเหลือแค่ 2 ซี่ ดังนั้นในคนบางคนจึงอาจมีเพียง 28 ซี่ เท่านั้น

โครงสร้างของฟัน แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ
1. ตัวฟัน (Crown) เป็นส่วนของฟันที่โผล่พ้นเหงือกทั้งหมด ผิวด้านนอกเคลือบด้วยสารเคลือบฟัน (Enamel) เป็นสารสีขาว มีความแข็งแรงมากที่สุด ส่วนล่างของสารเคลือบฟันเป็นเนื้อเยื่อเกี่ยวพันหนา ประกอบด้วยหินปูน เรียกว่าเนื้อฟัน (Dentin) ส่วนแกนกลางของตัวฟันมีเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่อ่อนนุ่ม เรียกว่า โพรงฟัน (Pulp Cavity) ซึ่งภายในประกอบด้วยหลอดเลือดเล็กๆ และปลายประสาท
2. คอฟัน (Neck) เป็นส่วนของฟันที่ฝังอยู่ในเหงือกถัดจากตัวฟันลงไป อยู่บริเวณที่ Enamel กับ Cementum ของรากฟันมาพบกัน
3. รากฟัน (Root) เป็นส่วนของฟันที่อยู่ในช่วงกระดูกขากรรไกรและยึดติดกับกระดูกโดยเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่แข็งแรง มี Cementum หุ้มอยู่บางๆ ช่วยยึดรากฟัน ตรงกลางรากฟันเป็นช่อง เรียกว่า Root Canal เป็นทางที่เส้นเลือดและเส้นประสาทจะเข้าสู่โพรงฟัน


ต่อมน้ำลาย (Salivary Gland)
ทำหน้าที่สร้างน้ำลาย (Saliva) ส่งออกทางท่อน้ำลายไปสู่ช่องปาก มี 3 คู่
1. ต่อมข้างกกหู (Parotid Gland) อยู่บริเวณกกหูทั้ง 2 ข้าง สร้างน้ำลายชนิดใสเพียงอย่างเดียว มีขนาดใหญ่ที่สุด ถ้าเกิดการอักเสบ บริเวณกกหูทั้ง 2 ข้างจะบวมแดง เรียกว่า โรคคางทูม ต่อมชนิดนี้จะผลิตน้ำลายประมาณ 25% ของน้ำลายทั้งหมด
2. ต่อมใต้ขากรรไกร (Submaxillary Gland) สร้างน้ำลายทั้งชนิดใสและชนิดเหนียว แต่มีน้ำลายทั้งชนิดใสมากกว่า ต่อมชนิดนี้จะผลิตน้ำลายประมาณ 70% ของน้ำลายทั้งหมด
3. ต่อมใต้ลิ้น (Sublingual Gland) สร้างน้ำลายทั้งชนิดใสและชนิดเหนียว แต่มีน้ำลายทั้งชนิดเหนียวมากกว่า ต่อมชนิดนี้จะผลิตน้ำลายประมาณ 5% ของน้ำลายทั้งหมด
น้ำลาย มีลักษณะเป็นของเหลว มี 2 ชนิด คือ
1. ชนิดใส (Serous) มีน้ำย่อยอะไมเลสหรือไทยาลิน (Amylase or Ptyalin) ทำหน้าที่ย่อยแป้งให้เป็น เดกซ์ตริน (Dextrin) ซึ่งเป็นแป้งที่มีโมเลกุลขนาดเล็กลง
2. ชนิดเหนียว (Mucous) ช่วยให้การคลุกเคล้าอาหารผสมกับน้ำย่อยเกิดได้ดี และสะดวกต่อการกลืนอาหาร
ส่วนประปอบของน้ำลายมีดังนี้
1. เอนไซม์อะไมเลส (Amylase) ช่วยย่อยสลายคาร์โบไฮเดรต
2. น้ำ (Water) มีประมาณ 99.5% เป็นตัวทำละลายสารอาหาร
3. น้ำเมือก (Mucin) เป็นสารคาร์โบไฮเดรต ผสมโปรตีน ช่วยให้อาหารรวมตัวกันเป็นก้อน ลื่น และกลืนสะดวก
น้ำลายจะถูกสร้างจากต่อมน้ำลายประมาณ 1-1.5 ลิตร มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน (pH 6.0-7.0) ทำหน้าที่ละลายอาหาร ป้องกันไม่ให้ปากแห้ง และช่วยในการเคลื่อนไหวของลิ้นในขณะพูด

ลิ้น (Tongue)
เป็นกล้ามเนื้อที่สามารถเคลื่อนที่ได้อย่างคล่องแคล่วในหลายทิศทาง ทำหน้าที่สำคัญ ดังนี้
- รับรสอาหาร เพราะมีต่อมรับรส (Taste Budd)
- ช่วยคลุกเคล้าอาหารให้ผสมกับน้ำลาย และตตะล่อมให้อาหารเป็นก้อน
- ช่วยหน่วงเหนี่ยวอาหารไม่ให้ไหลผ่านคอหออยเร็วเกินไป
- ช่วยในการกลืนอาหาร
- ช่วยในการพูด ทำให้พูดชัดเจน
เอนไซม์อะไมเลสจะสลายตัวเมื่อเข้าสู่กระเพาะอาหาร เพราะในอาหารจะมีกรดเกลือ (HCl) อยู่
การกลืนอาหาร (Swallowing)
การกลืนอาหาร อาศัยการทำงานของกล้ามเนื้อหลายชุด บังคับให้อาหารผ่านจากปากเข้าสู่หลอดอาหาร โดยมีกลไกดังนี้ เริ่มแรกเป็นการทำงานของกล้ามเนื้อลิ้น โดยโคนลิ้นจะเคลื่อนไปทางด้านหลังและด้านบน ผลักอาหารเข้าสู่คอหอย (Pharynx) ในขณะเดียวกัน เพดานอ่อน (Soft Palate) ที่ห้อยโค้งลงมาบริเวณโคนลิ้นจะเลื่อนขึ้นโดนอัตโนมัติไปปิดรูเปิดของช่องจมูกทั้ง 2 เพื่อป้องกันไมให้อาหารพุ่งขึ้นมาทางจมูก จากนั้นปิดฝากล่องเสียง (Epiglottis) ปิดทางเข้าหลอดลม กั้นไม่ให้อาหารตกลงสู่หลอดลมได้

ข้อควรทราบ
ศูนย์ควบคุมการกลืนอาหารคือ Medulla Oblongata อยู่ตรงประสาทสมองคู่ที่ 10 (Vagus Nerve) การกลืนอาหารจัดเป็นปฏิกิริยารีเฟลกซ์ 

หลอดอาหาร (Esophagus)
หลอดอาหารมีลักษณะเป็นท่อกล้ามเนื้อที่ต่อจากคอหอย อยู่ทางด้านหลังของหลอดลม (Trachea) ไปสิ้นสุดที่กระเพาะอาหาร ตรงบริเวณถัดจากส่วนล่างของแผ่นกะบังลม (Diaphragm) มีความยาวประมาณ 25 เซนติเมตร
ลักษณะสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการย่อยในหลอดอาหาร มีดังนี้
- หลอดอาหารไม่มีต่อมสร้างน้ำย่อย แต่ยังมมีการย่อยอาหารต่อเนื่องมาจากในปาก
- หลอดอาหารมีต่อมขับน้ำเมือก (Mucous Glaand) กระจายอยู่ทั่วไป น้ำเมือกเหนียวข้นที่หลั่งออกมาจะช่วยในการหล่อลื่น ทำให้อาหารเคลื่อนผ่านได้สะดวก
- อาหารที่เคลื่อนผ่านไปตามหลอดอาหรได้โดยยการหดตัวของกล้ามเนื้อหลอดอาหารซึ่งจะหดและคลายตัวเป็นจังหวะเป็นช่วงๆต่อเนื่องกัน เรียกว่า เพอริสทัลซิส (Peristalsis)
- อาหารถูกย่อยเชิงกลโดยกระบวนการ Peristaalsis
- หลอดอาหารเป็นบริเวณแรกที่มีกระบวนการ PPeristalsis 

 

การย่อยในกระเพาะอาหาร
กระเพาะอาหาร (Stomach) อยู่ทางด้านซ้ายของร่างกาย ใต้กะบังลม (Diaphragm) ในสภาพไม่มีอาหารบรรจุอยู่ จะมีปริมาตร 50 ลูกบาศก์เซนติเมตร แต่เมื่อมีอาหารสามารถขยายได้ถึง 10-40 เท่า
ส่วนต่างๆของกระเพาะอาหาร
แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้
1. Cardiac Region หรือ Cardium เป็นส่วนของกระเพาะอาหารตอนบนอยู่ต่อจากหลอดอาหาร มีกล้ามเนื้อหูรูด เรียกว่า Cardiac Sphincter ป้องกันไม่ให้อาหารภายในกระเพาะอาหารย้อนกลับสู่หลอดอาหาร
2. Fundus เป็นกระเพาะอาหารส่วนกลาง มีลักษณะเป็นกระพุ้งใหญ่ที่สุด
3. Pylorus หรือ Pyloric Region เป็นกระเพาะอาหารส่วนปลายติดต่อกับลำไส้เล็กตอนต้น (Duodenum) มีลักษณะเล็กเรียวแคบลง ตอนปลายสุดของกระเพาะอาหารส่วนนี้มีกล้ามเนื้อหูรูด เรียกว่า Pyloric Sphincter ป้องกันไม่ให้อาหารออกจากกระเพาะอาหาร

ลักษณะผนังกระเพาะอาหาร
ประกอบด้วยกล้ามเนื้อเรียบ 3 ชั้น ดังนี้
1. ชั้นนอก เป็นกล้ามเนื้อเรียบตามแนวยาว
2. ชั้นกลาง เป็นกล้ามเนื้อวงตามขวาง
3. ชั้นในสุด เป็นกล้ามเนื้อในแนวทแยง ลักษณะพับไปมา เรียกว่า Rugae ช่วยเพิ่มพื้นที่ผิวในการย่อยอาหาร


กลุ่มเซลล์ภายในกระเพาะอาหาร
แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
1. Mucous Epithelial Cell หรือ Mucous Neck Cell ทำหน้าที่สร้างน้ำเมือกที่มีฤทธิ์เป็นเบส ฉาบผิวของระเพาะอาหารไม่ให้เป็นอันตราย
2. Parietal Cell หรือ Oxyntic Cell ทำหน้าที่สร้างกรดไฮโดรคลอริก (HCl) เข้มข้น เพื่อช่วยในการย่อยอาหาร
3. Chief Cell หรือ Zygamatic Cell ทำหน้าที่สร้าง Pepsinogen และ Prorennin ซึ่งเป็น Proenzyme

หน้าที่ของกระเพาะอาหาร
มีดังนี้
- เป็นที่เก็บสะสมอาหาร
- เป็นอวัยวะย่อยอาหาร
- ลำเลียงอาหารเข้าสู่ลำไส้เล็กในอัตราที่พอเหมาะ
- สร้างสาร Intrinsic Factor (IF) ควบคุมกการดูดซึมวิตามินบี12ที่ลำไส้เล็ก เพื่อใช้ในกระบวนการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง

การย่อยอาหารในกระเพาะอาหาร
มี 2 วิธี ดังนี
1. การย่อยเชิงกล เมื่อก้อนอาหาร (Bolus) จากหลอดอาหารตกถึงกระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารจะมีการเคลื่อนไหวแบบคลื่นคลุกเคล้าอาหาร (Tonic Contraction) เพื่อให้อาหารผสมกับน้ำย่อย และมีการหดตัวของกล้ามเนื้ออย่างแรงมากเป็นช่วงๆ (Peristalsis) เพื่อดันให้อาหารเคลื่อนลงสู่ส่วนล่างของกระเพาะอาหาร
2. การย่อยทางเคมี โดยใช้เอนไซม์ที่สร้างขึ้นจากต่อมในกระเพาะอาหาร

สารและเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการย่อยในกระเพาะอาหาร
1. HCl มี pH อยู่ระหว่าง 0.9-2.0
2. Pepsinogen เป็น Proenzyme ต้องได้รับ HCl จึงเปลี่ยนเป็นเพปซิน (Pepsin) สำหรับย่อยโปรตีนเป็นเพปไทด์ ซึ่งประกอบด้วยกรดอะมิโน 4-12 โมเลกุล
3. Prorennin เป็น Proenzyme ต้องได้รับ HCl จึงเปลี่ยนเป็นเรนนิน (Rennin) สำหรับย่อยโปรตีนในน้ำนม
4. Lipase สร้างขึ้นในปริมาณน้อยมาก เพราะสภาพเป็นกรดของกระเพาะอาหาร
5. Gastrin เป็นฮอร์โมนที่สร้างจากเซลล์ในกระเพาะอาหาร ทำหน้าที่กระตุ้นให้ Parirtal Cell หลั่ง HCl ออกมา

การทำงานของกระเพาะอาหาร
แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ
1. Cephalic Phase เป็นระยะรับกลิ่น รส หรือนึกถึงอาหาร เส้นประสาท Vagus จากสมองจะกระตุ้นให้กระเพาะเคลื่อนที่และการหลั่งสาร
2. Gastric Phase เป็นระยะที่ก้อนอาหาร (Bolus) เข้าสู่กระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารจะเคลื่อนที่และการหลั่งฮอร์โมน Gastrin จากชั้นมิวโคซาจากชั้นของกระเพาะอาหาร ไปกระตุ้นให้กระเพาะอาหารหลั่ง HCl ออกมารวมกับ Pepsinogen
3. Intestinal Phase เป็นระยะที่อาหาร (Chyme) ออกจากกระเพาะอาหารเข้าสู่ลำไส้เล็กส่วน Duodenum เนื้อเยื่อมิวโคซาของ Duodenum จะหลั่งฮอร์โมน Secretin ออกมายับยั้งการหลั่งฮอร์โมน Gastrin
 

การย่อยอาหารในลำไส้เล็ก
ลำไส้เล็ก (Small Intestine) เป็นส่วนที่ยาวที่สุดของทางเดินอาหาร อยู่ต่อจากกระเพาะอาหารกับลำไส้ใหญ่ มีความยาวประมาณ 7-8 เมตร ขดไปมาในช่องท้อง ผนังด้านในมีลักษณะเป็นปุ่มจำนวนมากยื่นออกมาเพื่อเพิ่มพื้นที่ผิวในการดูดซึมสารอาหารที่เรียกว่า วิลลัส (Villus) หรือ วิลไล (Villi)

โครงสร้างภายนอกของลำไส้เล็ก
แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ
1. ดูโอดีนัม (Duodenum) เป็นลำไส้เล็กส่วนต้น ยาวประมาณ 25-30 เซนติเมตร รูปร่างเป็นตัวยู อยู่ต่อจากกระเพาะอาหาร เป็นบริเวณที่มีสารเคมีหลายชนิด เช่น
 

    - Pancreatic Juice เป็นน้ำย่อยที่สร้างจากตับอ่อน
    - น้ำดี (Bile) สร้างจากตับ หลั่งออกมาจากกถุงน้ำดี ช่วยให้ไขมันแตกตัวเป็นหยดไขมันขนาดเล็ก (Emulsifying)
    -Intestinal Juice เป็นน้ำย่อยที่สร้างจากกผนังลำไส้เล็กของดูโอดีนัม จัดเป็นส่วนที่มีการย่อยอาหารเกิดขึ้นมากที่สุด

2. เจจูนัม (Jejunum) เป็นส่วนที่ต่อจาก Duodenum ยาวประมาณ 2 ใน 5 หรือประมาณ 3-4 เมตร เป็นส่วนที่มีการดูดซึมอาหารมากที่สุด
3. ไอเลียม (Ileum) เป็นลำไส้เล็กส่วนสุดท้าย ปลายสุดของ Ileum ต่อกับลำไส้ใหญ่มีขนาดเล็กและยาวที่สุดประมาณ 4.3 เมตร

การย่อยอาหารในลำไส้เล็ก
มี 2 วีธี ดังนี้
1. การย่อยเชิงกล ได้แก่

    - การหดตัวเป็นจังหวะ (Rhythmic Segmentation) ช่วยคลุกเคล้าอาหารให้ผสมกับน้ำย่อย และช่วยไล่อาหารให้เคลื่อนไปตามทางเดินอาหาร
    - Peristalsis เป็นการหดตัวของกล้ามเนื้อททางเดินอาหารเป็นช่วงๆติดต่อกัน ช่วยผลักหรือไล่อาหารให้เดินทางต่อไป

2. การย่อยทางเคมี เป็นการย่อยที่ใช้สารเคมีหรือเอนไซม์จกอวัยวะส่วนต่างๆ
 
    2.1 สารและเอนไซม์จากตับอ่อน

      - โซเดียมไฮโดรเจนคาร์บอเนต (NaHCO3) มีฤทธิ์เป็นเบส ช่วยเปลี่ยนอาหาร (Chyme) ที่มีฤทธ์เป็นกรดจากกระเพาะอาหารให้เป็นกลางหรือเบสอ่อน
      - เอนไซม์อะไมเลส (Amylase) ทำหน้าที่ย่ออยแป้ง ไกลโคเจน หรือเดกซ์ทริน ให้แตกตัวเป็นมอลโทส
      - เอนไซม์ไลเพส หรือ สตีปซิน (Lipase or SSteapsin) ทำหน้าที่ย่อยไขมันให้เป็นกรดไขมันและกลีเซอรอล และทำงานได้ดีที่ pH 8.0
      - ทริปซิโนเจน (Trypsinogen) เป็นสารเคมีทที่ไม่พร้อมจะทำงาน ต้องอาศัยเอนเทอโรไคเนส (Enterokinase) จากผนังลำไส้เล็กเปลี่ยนเป็นทริปซิน (Trypsin) ก่อน จึงจะทำหน้าที่ย่อยโปรตีนได้
      - ไคโมทริปซิโนเจน (Cyhmotrypsinogen) เป็นสารเคมีที่ไม่พร้อมจะทำงาน ต้องอาศัยทริปซินเปลี่ยนเป็นไคโมทริปซิน (Chymotrypsin) ก่อน จึงจะทำหน้าที่ย่อยโปรตีนได้
      - โพรคาร์บอกซิเพปทิเดส (Procarboxypeptiddase) เป็นสารเคมีที่ไม่พร้อมจะทำงาน ต้องอาศัย ทริปซิน หรือ เอนเทอโรไคเนสตัวใดตัวหนึ่งเปลี่ยนเป็น คาร์บอกซิเพปทิเดส (Carboxypeptidase) ก่อน คาร์บอกซิเพปทิเดสทำหน้าที่ย่อยโปรตีนตรงปลายสุดด้านหมู่คาร์บอกซิลเท่านั้น
       
    2.2 น้ำดีจากตับ ไม่จัดเป็นเอนไซม์ แต่ช่วยให้ไขมันแตกตัวเป็น Emulsion โดยเกลือน้ำดี เพื่อให้ Lipase ย่อยไขมันได้
     
      ข้อควรทราบ
      หน้าที่ของตับมีดังนี้
      - สร้างน้ำดี
      - สะสมอาหารในรูปไกลโคเจน สำหรับใช้เมื่อรร่างกายขาดแคลน
      - กำจัดสารพิษ เช่น แอลกอฮอล์ เป็นต้น
      > - เป็นแหล่งสะสมวิตามิน A, B และD
      - สร้างเม็ดเลือดขณะทารกอยู่ในครรภ์ แต่ภาายหลังจะเป็นแหล่งทำลายเม็ดเลือดแดง
       

    2.3 สารและเอนไซม์จากลำไส้เล็ก ได้แก่

      - เอนเทอโรไคเนส ช่วยเปลี่ยนทริปซิโนเจน และโพรคาร์บอกซิเพปทิเดสจากตับอ่อน ให้เป็นทริปซิน และคาร์บอกซิเพปทิเดส
      - เอนไซม์ย่อยคาร์โบไฮเดรต ได้แก่ อะไมเลสส (Amylase) มอลเทส (Maltase) ซูเครส (Sucrase) และ แล็กเทส (Lactase)
      - เพปซิเดส (Pepsidase) มีหลายชนิด เช่น ออะมิโนเพปซิเดส (Aminopepsidase) ซึ่งช่วยย่อยเพปไทด์ให้เป็นกรดอะมิโนและเพปไทด์ขนาดสั้นลง และ ไดเพปซิเดส (Dipepsidase) ซึ่งช่วยย่อยเพปไทด์ให้เป็นกรดอะมิโน
      - เอนไซม์ไลเพส ช่วยย่อยไขมันให้เป็นกรดไขขมัน และกลีเซอรอล
       
การดูดซึม
การดูดซึม (Absorption) เป็นกระบวนการนำสารอาหารโมเลกุลเดี่ยวที่ผ่านการย่อยแล้ว ซึ่งได้แก่ กลูโคส กรดอะมิโน กรดไขมัน และกลีเซอรอล ผ่านผนังลำไส้เล็กเข้าสู่กระแสเลือด เพื่อลำเลียงไปสู่ส่วนต่างๆทั่วร่างกาย

การดูดซึมสารอาหารของลำไส้เล็ก
ลักษณะของลำไส้เล็กเหมาะสมต่อการดูดซึมสารอาหาร ดังนี้
- เป็นบริเวณที่มีการย่อยอาหารเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์
- ผนังชั้นในพับไปมา และมีปุ่มยื่นออกมา เเรียกว่าวิลลัส (Villus) เรียงเป็นแถวคล้ายนิ้วมือจำนวนมาก และแต่ละวิลลัสจะมีไมโครวิลลัส (Microvillus) ยื่นออกมาอีกมากมาย เพื่อเพิ่มพื้นที่ผิวสำหรับดูดซึมสารอาหาร
- ที่ผนังของวิลลัสประกอบด้วยเส้นเลือดฝอยยสานกันเป็นร่างแห เพื่อรับสารอาหารโมเลกุลเดี่ยวพวกกลูโคสและกรดอะมิโน ส่วนแกนกลางของวิลลัสจะมีเส้นน้ำเหลืองฝอย (Lacteal) เพื่อรับสารอาหารพวกกรดไขมันและกลีเซอรอล
 

ลำไส้ใหญ่
ลำไส้ใหญ่ (Large Intestine) มีความยาวประมาณ 1.5 เมตร ประกอบด้วยส่วนต่างๆ ดังนี้
1. ซีกัม (Caecum) ติดกับ Ileum ตอนปลาย จะมีไส้ติ่ง (Vermiform Appendix) อยู่
2. โคลอน (Colon) เป็นรูปตัวยูคว่ำ มีความยาวมากที่สุด แบ่งเป็น 4 ส่วน คือ
 

    2.1 โคลอนส่วนขึ้น (Ascending Colon) มีความยาวประมาณ 20 เซนติเมตร
    2.2 โคลอนส่วนขวาง (Transverse Colon) มีความยาวประมาณ 50 เซนติเมตร
    2.3 โคลอนส่วนลง (Descending Colon) มีความยาวประมาณ 30 เซนติเมตร
    2.4 โคลอนส่วนปลาย (Sigmoid Colon)
     
3. ไส้ตรง (Rectum) เป็นส่วนที่ต่อจาก Sigmoid Colon มีความยาวประมาณ 12-15 เซนติเมตร ปกติจะเป็นส่วนที่ว่างเสมอ ถ้ากากอาหารลงมาในไส้ตรงจะกระตุ้นให้ลำไส้ใหญ่หดตัว ขับกากอาหารออกทางทวารหนัก
4. ทวารหนัก (Anus) มีความยาวประมาณ 2.5-3.5 เซนติเมตร อยู่ส่วนปลายสุด รอบๆจะมีกล้ามเนื้อหูรูด (Sphincter Ani) ทั้งภายในและภายนอก

หน้าที่ของลำไส้ใหญ่
มีดังนี้
1. ดูดน้ำ วิตามิน แร่ธาตุ (Na+, K+) และน้ำตาลกลูโคสที่เหลือค้างอยู่ในกากอาหารกลับเข้าสู่เส้นเลือดฝอย
2. รับและเก็บกากอาหาร
3. สร้างน้ำเมือกจากผนังด้านใน
4. เป็นที่อยู่ของแบคทีเรียหลายชนิดที่ทำประโยชน์และไม่เกิดโทษ เช่น แบคทีเรียที่ช่วยสังเคราะห์วิตามินบี12 และวิตามินเค เป็นต้น
 
    ข้อควรทราบ
    - ถ้ามีเชื้อโรคเข้าสู่ลำไส้ใหญ่ จะทำให้ลำไส้ใหญ่ดูดน้ำกลับสู่เลือดไม่ได้ ทำให้เกิดโรคท้องเดิน (Diarrhea)
    - ถ้ากากอาหารอยู่ในลำไส้ใหญ่นานเกินไป จะถูกลำไส้ใหญ่ดูดน้ำออกมามาก ทำให้เกิดโรคท้องผูก (Constipation)
     

ที่มา http://www.geocities.com/biotoday2002/bio2.html

วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ทฤษฎีบทพีทาโกรัส


ในวิชาคณิตศาสตร์ ทฤษฎีบทพีทาโกรัส แสดงความสัมพันธ์ในเรขาคณิตแบบยุคลิด ระหว่างด้านทั้งสามของสามเหลี่ยมมุมฉาก กำลังสองของด้านตรงข้ามมุมฉากเท่ากับผลรวมของกำลังสองของอีกสองด้านที่เหลือ ในแง่ของพื้นที่ กล่าวไว้ดังนี้

ในสามเหลี่ยมมุมฉากใด ๆ พื้นที่ของสี่เหลี่ยมที่มีด้านเป็นด้านตรงข้ามมุมฉาก เท่ากับผลรวมพื้นที่ของสี่เหลี่ยมที่มีด้านเป็นด้านประชิดมุมฉากของสามเหลี่ยมมุมฉากนั้น

ทฤษฎีบทดังกล่าวสามารถเขียนเป็นสมการสัมพันธ์กับความยาวของด้าน a, b และ c ได้ ซึ่งมักเรียกว่า สมการพีทาโกรัส ดังด้านล่าง
a^2 + b^2 = c^2\!\,

โดยที่ c เป็นความยาวด้านตรงข้ามมุมฉาก และ a และ b เป็นความยาวของอีกสองด้านที่เหลือ
ทฤษฎีบทพีทาโกรัสตั้งตามชื่อนักคณิตศาสตร์ชาวกรีก พีทาโกรัส ซึ่งถือว่าเป็นผู้ค้นพบทฤษฎีบทและการพิสูจน์ แม้จะมีการแย้งบ่อยครั้งว่า ทฤษฎีบทดังกล่าวมีมาก่อนหน้าเขาแล้ว มีหลักฐานว่านักคณิตศาสตร์ชาวบาบิโลนเข้าใจสมการดังกล่าว แม้ว่าจะมีหลักฐานหลงเหลืออยู่น้อยมากว่าพวกเขาปรับให้มันพอดีกับกรอบคณิตศาสตร์
ทฤษฎีบทดังกล่าวเกี่ยวข้องกับทั้งพื้นที่และความยาว ทฤษฎีบทดังกล่าวสามารถสรุปได้หลายวิธี รวมทั้งปริภูมิมิติที่สูงขึ้น ไปจนถึงปริภูมิที่มิใช่แบบยูคลิด ไปจนถึงวัตถุที่ไม่ใช่สามเหลี่ยมมุมฉาก และอันที่จริงแล้ว ไปจนถึงวัตถุที่ไม่ใช่สามเหลี่ยมเลยก็มี แต่เป็นทรงตัน n มิติ ทฤษฎีบทพีทาโกรัสดึงดูดความสนใจจากนักคณิตศาสตร์เป็นสัญลักษณ์ของความยากจะเข้าใจในคณิตศาสตร์ ความขลังหรือพลังปัญญา มีการอ้างถึงในวัฒนธรรมสมัยนิยมมากมายทั้งในวรรณกรรม ละคร ละครเพลง เพลง สแตมป์และการ์ตูน

ตามที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น หาก c แทนความยาวด้านตรงข้ามมุมฉาก และ a และ b แทนความยาวของอีกสองด้านที่เหลือแล้ว ทฤษฎีบทพีทาโกรัสจะสามารถเขียนในรูปสมการพีทาโกรัสได้ดังนี้
a^2 + b^2 = c^2\,
ถ้าทราบความยาวของทั้ง a และ b ค่า c จะสามารถคำนวณได้ดังนี้
 c = \sqrt{a^2 + b^2} \,
ถ้าทราบความยาวด้านตรงข้ามมุมฉาก c และด้านประชิดมุมฉากด้านใดด้านหนึ่ง (a หรือ b) แล้ว ความยาวด้านที่เหลือสามารถคำนวณได้ดังนี้
a = \sqrt{c^2 - b^2} \,
หรือ
b = \sqrt{c^2 - a^2} \,


ทฤษฎีบทพีทาโกรัสกำหนดความสัมพันธ์ของด้านทั้งสามของสามเหลี่ยมมุมฉากอย่างง่าย เพื่อที่ว่าถ้าทราบความยาวของด้านสองด้าน ก็จะสามารถหาความยาวของด้านที่เหลือได้ อีกบทแทรกหนึ่งของทฤษฎีบทพีทาโกรัสคือ ในสามเหลี่ยมมุมฉากใด ๆ ด้านตรงข้ามมุมฉากจะยาวกว่าสองด้านที่เหลือ แต่สั้นกว่าผลรวมของทั้งสอง
ทฤษฎีบทดังกล่าวสามารถกล่าวโดยสรุปได้เป็นกฎของโคซายน์ ซึ่งเมื่อให้ความยาวของด้านทั้งสองและขนาดของมุมระหว่างด้านนั้นมา จะสามารถคำนวณหาความยาวด้านที่สามของสามเหลี่ยมใด ๆ ได้ ถ้ามุมระหว่างด้านเป็นมุมฉาก กฎของโคซายน์จะย่อลงเหลือทฤษฎีบทพีทาโกรัส

การพิสูจน์

ทฤษฎีบทพีทาโกรัสอาจเป็นทฤษฎีบทที่รู้จักกันว่ามีการพิสูจน์มากกว่าทฤษฎีบทอื่น หนังสือ The Pythagorean Proposition มีการพิสูจน์มากถึง 370 แบบ



บทกลับของทฤษฎีบทปีทาโกรัส

บทกลับของทฤษฎีบทปีทาโกรัสนั้นเป็นจริง โดยกล่าวไว้ดังนี้
กำหนด a, b และ c เป็นจำนวนจริงบวกที่ a^2+b^2=c^2 จะมีสามเหลื่ยมมุมฉากหนึ่งรูปที่มีความยาวด้านเท่ากับสามจำนวนนั้น และสามเหลี่ยมนั้นจะมีมุมฉากระหว่างด้าน a และ b
ชุดของสามจำนวนนี้เรียกว่า สามสิ่งอันดับพีทาโกรัส อีกข้อความหนึ่งกล่าวว่า
สำหรับสามเหลี่ยมใด ๆ ที่มีด้าน a, b และ c ถ้า a^2+b^2=c^2 แล้วมุมระหว่าง a กับ b จะวัดได้ 90°
บทกลับนี้ยังปรากฏอยู่ในหนังสือ Euclid's Elements ของ ยุคลิดด้วย
ถ้าในสามเหลี่ยมรูปหนึ่ง สี่เหลี่ยมบนด้านหนึ่งเท่ากับผลรวมของสี่เหลี่ยมบนอีกสองด้านที่เหลือของสามเหลี่ยมแล้ว แล้วมุมที่รองรับด้านทั้งสองที่เหลือของสามเหลี่ยมนั้นจะเป็นมุมฉาก
บทกลับนี้สามารถพิสูจน์ได้โดยใช้ กฎของโคไซน์ หรือตามการพิสูจน์ดังต่อไปนี้
กำหนดสามเหลี่ยม ABC มีด้านสามด้านที่มีความยาว a,b และ c และa^2+b^2=c^2  เราจะต้องพิสูจน์ว่ามุมระหว่าง a และ b เป็นมุมฉาก ดังนั้น เราจะสร้างสามเหลื่ยมมุมฉากที่มีความยาวของด้านประกอบมุมฉาก เป็น a และ b แต่จากทฤษฎีบทปีทาโกรัส เราจะได้ว่าด้านตรงข้ามมุมฉาก ของสามเหลื่ยมรูปที่สองก็จะมีค่าเท่ากับ c เนื่องจากสามเหลี่ยมทั้งสองรูปมีความยาวด้านเท่ากันทุกด้าน สามเหลี่ยมทั้งสองรูปจึงเท่ากันทุกประการแบบ "ด้าน-ด้าน-ด้าน" และต้องมีมุมขนาดเท่ากันทุกมุม ดังนั้นมุมที่ด้าน a และ b มาประกอบกัน จึงต้องเป็นมุมฉากด้วย
จากบทพิสูจน์ของบทกลับของทฤษฎีบทปีทาโกรัส เราสามารถนำไปหาว่ารูปสามเหลี่ยมใด ๆ เป็นสามเหลี่ยมมุมแหลม, มุมฉาก หรือ มุมป้าน ได้ เมื่อกำหนดให้ c เป็นความยาวของด้านที่ยาวที่สุดในรูปสามเหลี่ยม
ถ้า a^2+b^2=c^2 สามเหลี่ยมนั้นจะเป็นสามเหลี่ยมมุมฉาก
ถ้า  a^2+b^2>c^2สามเหลี่ยมนั้นจะเป็นสามเหลี่ยมมุมแหลม
ถ้า a^2+b^2<c^2 สามเหลี่ยมนั้นจะเป็นสามเหลี่ยมมุมป้าน
ข้อมูลจาก http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%97%E0%B8%A4%E0%B8%A9%E0%B8%8E%E0%B8%B5%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B8%B5%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%AA

วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

แก้เครียด

กลอนตด

ตดดีๆ มีศิลป์ กลิ่นไม่เหม็น 

ตดไม่เป็น ดังป้าด สาดเป็นฝอย
 ตดวิบาก กากกระเซ็น เหม็นทั่วซอย 

ตดอร่อย ตดเป็นเพลง บรรเลงเพลิน
 ตดของเรา รุ่นเก่า เป็นเสียงเบส 

มีบางวัน เหมือนทรัมเปต ที่แผดเสียง
 ส่วนคืนนี้ ที่รัก ต้องคอเอียง
 เพราะตกเตียง ด้วยตดเรา เป่ากระเด็น ! 

พูดเรื่องตด เราคอหด ตดเกือบหาย 

ตดไม่ดี ไม่ยอมถ่าย ไม่เป็นผล
 อยากจะตด ต้องตดให้ ได้ยินยล
 ว่าตดเรา ออกจากก้น พ่นสวยงาม... 

ตดให้ดัง จังหวะ ชะชะช่า 

ตดดังกว่า ต้องแรง แบบแท็งโก้
 ตดแนวใหม่ ใช้แร็บ แต็บแต็บโชว์
 ตดแบบเก่า แนวโก๋ แบบโคชรา 

ตดของผม ดมได้ ไม่มีเสียง 

ไร้สำเนียง รบกวน ชวนสยอง 

แค่มีกลิ่น เล็กน้อย ให้คอยมอง 

เราช่ำชอง ตดขมิบ กว่าสิบปี 

ตดในตุ่ม ทุ้มเสียง เคียงเสนาะ
 ตดในตู้ คงเพราะ แต่เก็บเสียง 

ตดลิฟท์ ขมิบแผ่ว แว่วสำเนียง 

ตดแล้วเถียง ว่าเราป่าว คงเข้าที 

ตดแล้วปล่อย ลมหวน ให้ชวนหาว
 ตดแล้วนั่ง ดูดาว ยามคราวเหงา
 ตดแล้วนั่ง อุดตูด ปู้ดเบาเบา 

ตดแล้วเรา นั่งเศร้า เหงาคนเดียว

ขอบคุณ กลอนจาก http://thailru.igetweb.com/index.php?mo=3&art=211531 

วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

การแยกตัวประกอบของพหุนามดีกรีสอง


การแยกตัวประกอบของพหุนามดีกรีสอง      

ทบทวนความรู้เรื่องเอกนามและพหุนาม

ทบทวนความรู้เรื่องการแยกตัวประกอบของจำนวนเต็ม

แบบทดสอบก่อนเรียน เรื่อง การแยกตัวประกอบของพหุนามดีกรีสอง


1.1  การแยกตัวประกอบโดยใช้สมบัติการแจกแจง
         ถ้า  a , b  และ  c  แทนจำนวนเต็มใด ๆ แล้ว

               a(b + c)  =  ab + ac      หรือ        (b + c)a  =  ba + ca

         เราอาจเขียนสมบัติการแจกแจงข้างต้นใหม่เป็นดังนี้

               ab + ac  =  a(b + c)      หรือ       ba + ca  =  (b + c)a

         ถ้า  a , b  และ  c  เป็นพหุนาม  เราก็สามารถใช้สมบัติการแจกแจงข้างต้นได้ด้วย และเรียก  a  ว่า

ตัวประกอบร่วมของ ab และ ac  หรือตัวประกอบร่วมของ  ba และ ca

         พิจารณาวิธีการแยกตัวประกอบของ  15x2y – 18xy2  โดยใช้สมบัติการแจกแจงดังนี้

               15x2y – 18xy2  =  3(5x2y – 6xy2)      [3 เป็น ห.ร.ม. ของ 15 และ 18]

                                        =  3x(5xy – 6y2)       [x เป็นตัวประกอบร่วมของ 5x2y และ 6xy2]

                                        =  3xy(5x – 6y)           [y เป็นตัวประกอบร่วมของ5xy  และ 6y2]

               ดังนั้น   5x2y – 18xy2   =  3xy(5x – 6y)

         ตัวอย่างที่ 1    จงแยกตัวประกอบของ  5xy + 6x2

         วิธีทำ             5xy + 6x2   =   (x)(5y) + (x)(6x)
                                   
                                                =   x(5y + 6x)                              

                 ข้อสังเกต   x  เป็นตัวประกอบร่วมของ 5xy  และ  6x2   ดึง  x  ที่เป็นตัวประกอบร่วมออกมา

         ตัวอย่างที่ 2    จงแยกตัวประกอบของ  12y2z + 20yz

         วิธีทำ             12y2z + 20yz   = (4yz)(3y) + (4yz)(5)

                                                     =  4yz(3y + 5)

                ข้อสังเกต  4yz  เป็นตัวประกอบร่วมของ 12y2z  และ 20yz  ดึง  4yz  ที่เป็นตัวประกอบร่วมออกมา

         ตัวอย่างที่ 3   จงแยกตัวประกอบของ  16x3y3 – 24x4y

         วิธีทำ            16x3y3 – 24x4y   = (8x3y)(2y2) – (8x3y)(3x)

                                                       =  8x3y(2y2 – 3x)

                ข้อสังเกต  8x3y  เป็นตัวประกอบร่วมของ 16x3y3 และ  24x4y ดึง  8x3y  ที่เป็นตัวประกอบร่วมออกมา

               

                ข้อควรระวัง

                1.  ตัวประกอบร่วมที่นำออกมานอกวงเล็บ

                2.  ต้องเป็นตัวประกอบร่วมที่มากที่สุด

                3.  ถ้ายังมีตัวประกอบเหลืออยู่ต้องนำออกมาให้หมด

                4.  ในการแยกตัวประกอบของพหุนามที่มีหลายพจน์อาจต้องใช้สมบัติการสลับที่ และสมบัติการเปลี่ยนหมู่

ประกอบด้วย   นอกจากจะใช้สมบัติการแจกแจงแล้ว  ดังตัวอย่างต่อไปนี้

            ตัวอย่างที่ 4   จงแยกตัวประกอบของ  ab -2ac + bc -2c2

            วิธีทำ             ab -2ac + bc -2c2   =  (ab – 2ac) + (bc – 2c2)

                                                              =  a(b – 2c) + c(b – 2c)

                                                              =  (b – 2c)(a + c)

                     ดังนั้น   ab -2ac + bc -2c2   =  (b – 2c)(a + c)

                 ข้อสังเกต     1.  a , c      เป็นตัวประกอบร่วม

                                   2.  b – 2c   เป็นตัวประกอบร่วม

             ตัวอย่างที่ 5   จงแยกตัวประกอบของ  5x2z – 3y + 5yz – 3x2

             วิธีทำ            5x2z – 3y + 5yz – 3x2  =   5x2z – 3x2 + 5yz – 3y

                                                                    =   (5x2z – 3x2) + (5yz – 3y)

                                                                    =   x2(5z – 3) + y(5z – 3)

                                                                    =   (5z – 3)(x2 + y)

                     ดังนั้น  5x2z – 3y + 5yz – 3x2   =  (5z – 3) (x2 + y)

                  ข้อสังเกต   1.  x2 , y    เป็นตัวประกอบร่วม

                                  2.  5z – 3   เป็นตัวประกอบร่วม

              ตัวอย่างที่ 6   จงแยกตัวประกอบของ  mr2 – 3mp + 15np – 5nr2

              วิธีทำ            mr2 – 3mp + 15np – 5nr2   =   mr2– 3mp – 5nr2+ 15np

                                                                            =   (mr2– 3mp) – [(5n)r2– (3)(5n)p]

                                                                            =   m(r2 – 3p) – 5n(r2 – 3p)

                                                                            =   (r2 – 3p)(m – 5n)

                      ดังนั้น  mr2 – 3mp + 15np – 5nr2    =   (r2 – 3p)(m – 5n)

                     ข้อสังเกต     1.  m , 5n  เป็นตัวประกอบร่วม

                                      2.  r2 – 3p   เป็นตัวประกอบร่วม


1.2  การแยกตัวประกอบของพหุนามดีกรีสองตัวแปรเดียว
                  การแยกตัวประกอบของพหุนามที่มีดีกรีสองและมีตัวแปรเดียว  ที่แต่ละพจน์มีสัมประสิทธิ์เป็นจำนวนเต็ม

            ตัวอย่าง   ของพหุนามดีกรีสองตัวแปรเดียว
                 
                          3x2+ 4x + 5 , 2x2– 6x – 1 , x2– 9 , y2+ 3y – 7 , -y2+ 8y

                    พหุนามดีกรีสองตัวแปรเดียว คือ พหุนามที่เขียนในรูป  ax2 + bx + c  เมื่อ  a , b , c  เป็นค่าคงตัวที่

           a ≠ 0  และ  x  เป็นตัวแปร

           1.2.1  การแยกตัวประกอบของพหุนามดีกรีสองตัวแปรเดียว

                     ในรูป  ax2 + bx + c  เมื่อ  a , b  เป็นจำนวนเต็ม และ  c  =  0

                     ในกรณีที่  c = 0  พหุนามดีกรีสองตัวแปรเดียวจะอยู่ในรูป  ax2+ bx  สามารถใช้สมบัติการแจกแจง

            แยกตัวประกอบได้

            ตัวอย่างที่ 1   จงแยกตัวประกอบของ  x2 + 2x

            วิธีทำ            x2 + 2x       =   (x)(x) + (2)(x)

                                                  =   x(x + 2)

           ตัวอย่างที่ 2   จงแยกตัวประกอบของ  4x2 - 20x

           วิธีทำ           4x2 - 20x      =   (4x)(x) - (4x)(5)

                                                  =   4x(x - 5)

           ตัวอย่างที่ 3   จงแยกตัวประกอบของ  -4x2 - 6x

           วิธีทำ            -4x2 - 6x      =   -2x(2x + 3)

                    หรือ     -4x2 - 6x     =    2x(-2x - 3)

          ตัวอย่างที่ 4   จงแยกตัวประกอบของ  -15x2 + 12x

          วิธีทำ            -15x2 + 12x    =   (3x)(-5x) + (3x)(4)

                                                    =   3x(-5x + 4)

                    หรือ     -15x2 + 12x  =   (-3x)(-5x) - (-3x)(4)

                                                     =   -3x(5x - 4)


1.2.2 การแยกตัวประกอบของพหุนามดีกรีสองตัวแปรเดียว
                   ในรูป  ax2 + bx + c  เมื่อ  a = 1 , b  และ  c  เป็นจำนวนเต็ม และ  c  ≠  0

                   ในกรณีที่   a = 1   และ  c ≠ 0  พหุนามดีกรีสองตัวแปรเดียว   จะอยู่ในรูป  x2  +  bx  +  c
 
         สามารถแยกตัวประกอบของพหุนามในรูปนี้ได้      โดยอาศัยแนวคิดจากการหาผลคูณของพหุนาม

         ดังตัวอย่างต่อไปนี้

                  จากการหาผลคูณ   ( x +2 )( x + 3 )  ดังกล่าว  จะได้ขั้นตอนการแยกตัวประกอบของ    x2 + 5x + 6

         โดยทำขั้นตอนย้อนกลับ  ดังนี้

                   x2 + 5x + 6   =  x2 + (2 + 3)x + (2)(3)         [ 2 + 3 = 5  และ  (2) × (3) = 6 ]
 
                                        =  x2 + (2x + 3x) + (2)(3)

                                        =  (x2 + 2x) + [3x + (2)(3)]
 
                                        =  (x + 2)x + (x + 2)(3)

                                        =  (x + 2)(x + 3)

                               นั่นคือ     x2 + 5x + 6  =  (x + 2)(x + 3)

                   พิจารณาผลคูณของพหุนามต่อไปนี้

                   1.   (x + 2)(x + 3)  =  (x + 2)(x) + (x + 2)(3)

                                                =  (x2 + 2x)+ [3x + (2)(3)]

                                                =  x2 + (2x+ 3x) + (2)(3)

                                                =  x2 + (2+ 3)x + (2)(3)

                                                =  x2 + 5x + 6

                         ดังนั้น   แยกตัวประกอบของ  x2 + 5x + 6  ได้ดังนี้   x2 + 5x + 6   = (x + 2)(x + 3)

                         ให้สังเกตว่า  เราจะแยกตัวประกอบของ  x2+ 5x + 6  ได้  ถ้าเราสามารถหาจำนวนเต็มสองจำนวน

              ที่คูณกันได้เท่ากับพจน์ที่เป็นค่าคงตัว คือ 6  และบวกกันได้เท่ากับสัมประสิทธิ์ของ  x  คือ  5

              (x + 4)(x – 5)   =  (x + 4)(x) + (x + 4)(-5)
 
                                      =   (x2 + 4x) + [(-5)x + (4)(-5)]
 
                                      =   x2 + [4x + (-5)x] + (4)(-5)
 
                                      =   x2 + [4 + (-5)] x + (4)(-5)
 
                                      =   x2 + (-1)x + (-20)

                                      =   x2  -  x  - 20
 
                         ดังนั้น   แยกตัวประกอบของ    x2 - x - 20   ได้ดังนี้  x2 - x - 20   = (x + 4)(x – 5)

                        จากการหาผลคูณ    (x + 4)(x -5)  ดังกล่าว  จะได้ขั้นตอนการแยกตัวประกอบของ   x2- x – 20

               โดยทำขั้นตอนย้อนกลับในทำนองเดียวกับข้อ 1. ดังนี้

                   x2- x – 20    =   x2 + (-1)x + (-20)

                                      =   x2 + [4 + (-5)] x + (4)(-5)            [4 + (-5) = -1   และ  (4)(-5) = -20 ]
                 
                                      =   x2 + [4x + (-5)x] + (4)(-5)

                                     =   (x2 + 4x) + [(-5)x + (4)(-5)]

                                     =   (x + 4)x + (x + 4)(-5)

                                     =   (x + 4)[x + (-5)]

                                     =   (x + 4)(x -5)

                             นั่นคือ         x2 - x - 20   =   (x + 4)(x - 5)

                            ให้สังเกตเช่นเดียวกันว่า  เราจะแยกตัวประกอบของ  x2- x – 20  ได้  ถ้าเราสามารถหาจำนวนเต็ม

            สองจำนวนที่คูณกันได้เท่ากับพจน์ที่เป็นค่าคงตัวคือ  -20  และบวกกันได้เท่ากับสัมประสิทธิ์ของ  x  คือ  -1

                             จากที่กล่าวมาข้างต้นนี้  ถ้าเราต้องการแยกตัวประกอบของพหุนามดีกรีสอง  เช่น  x2+ 6x + 8
           
            เราจะต้องหาจำนวนเต็มสองจำนวนที่คูณกันได้  8  และบวกกันได้  6  ก่อน  ดังนี้
           
            เนื่องจาก     x2 + 6x + 8  =  x2 + (2 + 4)x + (2)(4)

                                                 =  x2 + (2x + 4x) + (2)(4)

                                                 =  (x2 + 2x) + [4x + (2)(4)]

                                                 =  (x + 2)x + (x + 2)(4)

                                                 =  (x + 2)(x + 4)

                                   นั่นคือ     x2 + 6x + 8     =    (x + 2)(x + 4)
           
              ในกรณีทั่วไป  เราสามารถแยกตัวประกอบของพหุนามดีกรีสองในรูป   x2 + bx + c  เมื่อ  b , c  เป็นจำนวนเต็ม

        และ  c ≠ 0  ได้  ถ้าเราสามารถหา  จำนวนเต็มสองจำนวนที่คูณกันได้เท่ากับพจน์ที่เป็นค่าคงตัวคือ  c  และบวกกันได้

        เท่ากับสัมประสิทธิ์ของ  x  คือ  b

                ถ้าให้  m  และ  n  เป็นจำนวนเต็มสองจำนวน  ซึ่ง  mn  =  c  และ  m + n  =  b

                จะได้ว่า     x2 + bx + c    =    (x + m)(x + n)

                 

 
              ตัวอย่างที่ 5     จงแยกตัวประกอบของ  x2 – 10x + 21

              วิธีทำ              เนื่องจาก (-3)(-7)   =   21
             
                        และ              (-3) + (-7)   =   -10

                        ดังนั้น     x2 – 10x + 21    =   [ x + (-3)][ x + (-7)]

                        นั่นคือ     x2 – 10x + 21    =  ( x -3 )( x -7 )        
             
              ตัวอย่างที่ 6     จงแยกตัวประกอบของ  x2 + 5x - 6

              วิธีทำ              เนื่องจาก  (-1)(6)   =   - 6

                           และ            (-1) + (6)   =    5

วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

แนะนำเจ้าของบล็อก

ชื่อ เด็กหญิง เหมรัตน์  ถาไชย
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/1 โรงเรียนตากพิทยาคม
ชื่อเล่น ปลาย เพื่อนเรียก รังนก 
เกิดวันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2541
ชอบดูการ์ตูนเรื่องนารูโตะ ชอบอ่านนิยาย(เกย์) ชอบสี เขียว ชอบ อยู่เงียบๆ